Mitsubishi Xpander 2018 ใหม่ ของดีที่ต้องลอง

Mitsubishi Xpander 2018

Mitsubishi Xpander 2018 ใหม่ ของดีที่ต้องลอง

Mitsubishi Xpander 2018 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร กับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด Mitsubishi Xpander 2018 ถูกเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ที่ประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของรถกลุ่มเอ็มพีวี ปัจจุบันเฉพาะประเทศอินโดนีเซียมียอดส่งมอบไปแล้วถึง 50,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ถือว่าเป็นรถที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรุ่นหนึ่งของมิตซูบิชิเลยทีเดียวสำหรับ Mitsubishi Xpander ในบ้านเราถูกวางไว้เป็นรถประเภทครอสโอเวอร์ ที่สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย (แม้ว่าในอินโดนีเซียจะถูกเรียกว่าเป็น MPV ก็ตามที) ซึ่งไม่ครอสโอเวอร์เพียงเฉพาะการใช้งานเท่านั้น แต่ยังรวมไปกลุ่มลูกค้าที่มิตซูบิชิตั้งเป้าหวังชิงส่วนแบ่งด้วย เพราะทางผู้บริหารเองตั้งเป้าให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มรถเอ็มพีวีรุ่นเล็กอย่าง Toyota Sienta และ Honda BR-V และยังหวังชิงส่วนแบ่งเล็กๆ จากกลุ่มเอสยูวีไซส์เล็กอย่าง Toyota C-HR และ Honda HR-V ด้วยที่กำลังมาแรงในปัจจุบันด้วย

 

Mitsubishi Xpander 2018 จะวางจำหน่ายในบ้านเราจำนวน 2 รุ่นย่อย ได้แก่ GLS-LTD และ GT โดยรุ่น GT เป็นรุ่นท็อปสุด และมีความแตกต่างจากรุ่น GLS-LTD อยู่พอสมควร

มิติตัวถัง Mitsubishi Xpander 2018 รุ่น GT

ความยาว: 4,475 มม. (BR-V 4,456 Sienta 4,235)

ความกว้าง: 1,750 มม. (BR-V 1,735 Sienta 1,695)

ความสูง: 1,700 มม. (BR-V 1,666 Sienta 1,695)

ความยาวฐานล้อ: 2,775 มม. (BR-V 2,655 Sienta 2,750)

ความสูงจากพื้นถนน: 205 มม. (BR-V 201 Sienta 170)

Mitsubishi Xpander 2018

ตัวถังรถยนต์

จะเห็นได้ว่ามิติตัวถังและความยาวฐานล้อของ Mitsubishi Xpander มีขนาดใหญ่กว่าคู่แข่งในระดับราคาเดียวกันทั้งหมด ขณะที่ความสูงจากพื้นถนนใกล้เคียงกับ Honda BR-V ขณะที่ Sienta ถูกวางให้เป็นเอ็มพีวีแท้ๆ จึงพ่ายไปในเรื่องการใช้งานแบบลุยๆ บนทางทุรกันดารดีไซน์ภายนอกของ Xpander เป็นผลพวงจาก Design language ใหม่ของมิตซูบิชิ โดยยังคงเอกลักษณ์ด้านหน้าที่เรียกว่า Dynamic Shield เช่นเดียวกับ Pajero Sport ออกแบบไฟหน้าให้มีลักษณะเป็นสองชั้น โดยชั้นบนเป็นไฟหรี่ LED (น่าเสียดายที่ไม่สามารถใช้งานเป็น Daytime Running Light ได้) ชั้นล่างเป็นไฟหลักแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์ฮาโลเจน พร้อมด้วยไฟเลี้ยวขนาดใหญ่ ขณะที่รุ่น GT จะมีไฟตัดหมอกทรงกลมให้ด้วยตัวถังด้านข้างออกแบบให้มีเส้นสายดูชัดเจน ช่วยเพิ่มมิติตัวถังให้ดูบึกบึนแข็งแรง เสา D-Pillar ถูกออกแบบให้มีแถบสีดำเพื่อเพิ่มความต่อเนื่องจากด้านข้างไปยังประตูหลัง โดยรวมทำให้ตัวรถดูทันสมัยมากขึ้น ขณะที่ไฟท้ายเป็นแบบ LED ดีไซน์รูปตัว L มาพร้อมไฟถอยหลังแบบ LED เช่นกัน ขณะที่ไฟเบรกและไฟเลี้ยวยังคงเป็นหลอดไส้ธรรมดา ส่วนไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ถูกติดตั้งไว้กับสปอยเลอร์ตัวถังรอบคันถูกตกแต่งด้วยแผงกันกระแทกสีเงินตัดกับสีตัวรถ ทั้งด้านหน้า, ด้านหลัง และด้านข้าง มาพร้อมล้ออัลลอยสีทูโทนขนาด 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 205/55 R16 ซึ่งเป็นไซส์พิมพ์นิยม สามารถหาเปลี่ยนได้ทั่วไป

Mitsubishi Xpander 2018

ห้องโดยสาร

ภายในห้องโดยสารของ เอ็กซ์แพนเดอร์ ถูกตกแต่งเน้นโทนสีเทา-ดำ เบาะนั่งของทั้ง 2 รุ่นย่อยเป็นแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยรุ่น GT ถูกหุ้มด้วยวัสดุหนัง ขณะที่ GLS-LTD หุ้มด้วยผ้าตัวเบาะนั่งผู้ขับขี่สามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้ แต่จะยกขึ้นลงได้เฉพาะช่วงรองสะโพกเท่านั้น ขณะที่ตัวเบาะช่วงหน้าที่ไว้ซัพพอร์ตต้นขาจะไม่สามารถขยับขึ้น-ลงได้ ต่างจากรถรุ่นอื่นๆ ที่มักจะยกขึ้น-ลงได้ทั้งเบาะ ส่วนเบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารปรับได้ 4 ทิศทางตามปกติเบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถปรับพับแบบ 40:20:40 ได้ โดยไม่มีที่วางแขนมาให้ หากจะวางแขนจริงๆ ก็ต้องพับส่วน 20 ที่ว่าลงมา ก็จะได้เป็นที่วางแขนขนาดพอเหมาะ แต่ก็จะมีช่องโบ๋ๆ ทะลุไปยังเบาะนั่งแถวที่ 3 ให้ดูเล่น ซึ่งตำแหน่งที่นั่งตรงกลางของเบาะนั่งแถวที่ 2 ไม่มีพนักพิงศีรษะมาให้อีกต่างหาก ดังนั้น หากใครต้องนั่งจุดนี้แบบยาวๆ คงต้องมีเมื่อยคอกันบ้างล่ะแต่จุดเด่นของเบาะนั่งแถวที่ 2 อยู่ตรงที่มันสามารถขยับขึ้นหน้า-หลังได้ ทำให้สามารถเข้าออกแถว 3 ได้สะดวกมากขึ้น และช่วยเพิ่มพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารแถวหลังสุดได้ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถปรับพับแบบ 50:50 มีพนักพิงศีรษะให้ 2 ตำแหน่ง และสามารถปรับเอนได้พอประมาณหากเทียบพื้นที่แถว 3 กับคู่แข่งในระดับราคาเดียวกัน ก็พอจะบอกได้ว่า Xpander นั่งสบายที่สุดแล้ว หากอยากสบายกว่านี้คงต้องไปเล่น Toyota Alphard/Vellfire ที่มีค่าตัวต่างกัน 5 เท่าแล้วล่ะ

อุปกรณ์มาตรฐาน

Mitsubishi Xpander ถูกจัดมาให้แบบครบๆ ในระดับราคานี้ เช่น กระจกข้างปรับพับด้วยไฟฟ้า, มาตรวัดขับขี่แบบ High Contrast พร้อมจอ MID แบบ TFT สีขนาด 4.2 นิ้ว, พวงมาลัยหุ้มหนังมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน ปรับขึ้น-ลง เข้า-ออกได้, Cruise Control, ปุ่มรับ-วางสารโทรศัพท์บนพวงมาลัย, กุญแจ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์, กระจกหน้าต่างขึ้น-ลงอัตโนมัติฝั่งคนขับ, ระบบปรับอากาศแบบแมนนวล พร้อมฮีทเตอร์, ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลังแบบอิสระ ติดตั้งเหนือเพดาน เป็นต้น   เครื่องเสียงของรุ่น GT เป็นแบบหน้าจอสัมผัสขนาด 6.2 นิ้ว รองรับ DVD/MP3 และ Bluetooth ได้ พร้อมพอร์ต USB และ AUX ติดตั้งอยู่บนตัวฟร้อนท์ ซึ่งข้อเสียอยู่ที่จะมีสายระเกะระกะบ้างเวลาใช้งานพอร์ตเหล่านี้ โดยเครื่องเสียงชุดนี้เป็นของโซนี่ มาพร้อมลำโพงทั้งหมด 6 จุด ซึ่งคุณภาพเสียงถือว่าพอใช้ได้ มีเบสให้สัมผัสได้อยู่เล็กๆ และยังสามารถปรับอีควอไลเซอร์ได้เองด้วย

ด้านความอเนกประสงค์ของ Xpander มีที่วางแก้วน้ำให้ทั้ง 3 แถว ระหว่างเบาะนั่งคู่หน้าเป็นกล่องเก็บของพร้อมฝาปิดแบบสไลด์ แต่น่าเสียดายตรงที่มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้วางแขนแต่อย่างใด เหนือเพดานติดตั้งราวจับมาให้ 5 ตำแหน่ง ช่องจ่ายไฟขนาด 12 โวลต์มีให้ 3 ตำแหน่ง (แผงคอนโซลหน้า, ในกล่องเก็บของระหว่างเบาะหน้า และบริเวณเบาะนั่งแถวที่ 3) รวมถึงช่องเก็บของหลังเบาะผู้โดยสารด้านหน้า ถูกออกแบบให้มีช่องเล็กๆ ที่สามารถเสียบไอแพดหรือสมาร์ทโฟนได้วัสดุภายในห้องโดยสารถูกเน้นพลาสติกแข็งแทบทั้งหมด แต่ก็มีการขึ้นลายให้มีลักษณะคล้ายกับวัสดุหนัง พร้อมทั้งใช้สีเงินตัดกับห้องโดยสารโทนสีดำ ทำให้ตัวรถดูมีมูลค่ามากขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดดีในการควบคุมต้นทุนไม่ให้สูงจนเกินไป แต่ก็ยังได้ภาพลักษณ์เช่นเดียวกับรถราคาสูงกว่า แม้ว่าสัมผัสของมันจริงๆ จะแข็งกระด้างแทบจะทั้งห้องโดยสารก็ตามที

ด้านระบบความปลอดภัย

มาตรฐานของรถสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบเบรก ABS/EBD/BA, ระบบควบคุมเสถียรภาพ ASC, ระบบป้องกันการลื่นไถล TCL, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA, ไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS, ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยคู่หน้า, เข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุดทั้ง 7 ที่นั่ง พร้อมระบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติคู่หน้า, จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX และกล้องมองภาพขณะถอยหลัง เป็นต้น

ขุมพลัง

Mitsubishi Xpander 2018 เป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อมปุ่ม Overdrive รองรับเชื้อเพลิงทางเลือกสูงสุด E20